kabuvi

Limit downside, Be focus

Out-of-sight Stock : หุ้นนอกสายตา

15 Comments

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์กับเพื่อนเก่าที่เคยเรียนอยู่มหาลัยเดียวกัน ปัจจุบันหลายๆ คนก็มีเส้นทางชีวิตของตัวเอง บ้างก็อยู่ในสายงานวิศวกรรมโยธาอย่างที่ได้เรียนมา บ้างออกทำงานในสายการเงิน บ้างก็ไปเป็นผู้จัดการกองทุน และบ้างก็ออกมาลงทุนเต็มเวลา แปลกที่เมื่อก่อนสมัยที่เรียนอยู่มหาลัยหรือจบใหม่ๆ เรื่องที่มักจะถูกนำมาพูดคุยกันในโต๊ะอาหารมักจะเป็นเรื่อง แฟนคนนั้น คนนี้ อกหัก ดารา ภาพยนต์ หรือแม้แต่เรื่องเกมส์ออนไลน์ แต่วันนั้นที่เจอกันเรื่องที่นำมาคุยกัน 90% จะเกี่ยวกับเรื่องหุ้นและการลงทุน

กลับมาเรื่องที่ผมอยากจะพูดถึงวันนี้ เรื่อง หุ้นนอกสายตา ซึ่งผมได้ไอเดียนี้มาจากเพื่อนคนนึงซึ่งตอนนี้ออกมาลงทุนเต็มตัวแล้ว ผมคิดว่าน่าสนใจดีเลยนำมาเล่าสู่กันฟัง

ผมเป็นคนนึงที่ชอบหาหุ้นนอกสายตาเพื่อเข้าลงทุน โดยหลักๆแล้วหุ้นนอกสายตาอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. นอกสายตานักลงทุนรายย่อย

หุ้นพวกนี้มักจะเป็นหุ้นที่ไม่มีโวลุ่ม และมี Market Cap ค่อนข้างเล็ก หรือ น้อยกว่า  1,000 ล้าน ถ้าลองสังเกตดูจะพบว่ามักมีการซื้อขายต่อวันน้อยกว่า 0.5% ของ Market Cap ทั้งหมด หรือบางครั้งอาจจะน้อยกว่านั้นมากๆ พูดได้ว่าสภาพคล่องน้อย หุ้นประเภทนี้มักจะยังไม่อยู่ในสายตาของนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนที่มีพอร์ตขนาด 10 ล้านบาทขึ้นไป อาจใช้เวลานานในการสะสมหุ้นประเภทนี้ ข้อดีของหุ้นประเภทนี้ คือ มักจะมี Margin of Safety หรือพูดอีกแง่นึงคือ Downside risk ไม่สูงนัก ส่วนข้อเสียของหุ้นประเภทนี้คือ มักมองเห็น upside ได้ไม่ชัดเจน ราคาอาจจะ +-10% มาเป็นช่วงเวลานาน หรือ กำไรอาจโตเพียงตามเงินเฟ้อทุกๆปี แม้ว่าหุ้นบางตัวอาจจะให้ปันผลไม่แย่นัก เพราะฉะนั้นจุดสำคัญที่สุดในการเลือกลงทุนในหุ้นประเภทนี้คือ ตัวเร่ง ที่จะสามารถทำให้หุ้นนอกสายตานักลงทุนรายย่อย กลายเป็น หุ้นเข้าตา  ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากวงจรเศรษฐกิจหรือ การเปลี่ยนแปลงภายในบริษัทที่เราคาดการว่าจะนำไปสู่งการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดีอย่างถาวรของบริษัท เช่น เปลี่ยนผู้บริหาร ปรับโครงสร้างหนี้ ขายบริษัทย่อย (ตัดเนื้อร้าย) เปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชี เปลี่ยนนโยบายทางการเงินบางอย่าง หรืออื่นๆ

2. นอกสายตานักลงทุนสถาบัน

หุ้นพวกนี้จะแตกต่างจากหุ้นประเภทแรก คือ เมื่อมองในมุมของนักลงทุนรายย่อยนั้นโวลุ่มเพียงพอที่จะซื้อขายได้ภายในครั้งเดียวโดยไม่กระทบกับการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาดในขณะนั้นมากนัก โดย Market Cap จะไม่เกิน 10,000 ล้านบาทและมีการซื้อขายต่อวันโดยเฉลี่ยไม่เกิน 50 ล้านบาท หุ้นประเภทนี้อาจจะยังอยู่นอกสายตานักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากมี เงื่อนไขไม่ตรงกับเงื่อนไขที่สามารถลงทุนได้ หุ้นประเภทนี้เป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุนอย่างมากสำหรับนักลงทุนที่มีพอร์ตเกิน 10 ล้านบาท เนื่องจากปัญหาการซื้อขายของหุ้นจากสภาพคล่องน้อยกว่าประเภทแรก และยังมีโอกาสทำกำไรได้มากเมื่อหุ้นดังกล่าวทำกำไรได้มากและทำให้ Market cap เข้าเงื่อนไขของนักลงทุนสถาบัน หุ้นประเภทนี้สังเกตได้จากการดูรายชื่อผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน และบางบริษัทอาจจะมีตัวเร่งที่เกี่ยวข้องกับ Free float ในตลาด เช่น บริษัทมีการแตกพาร์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ประกาศลดสัดส่วนการถือหุ้น และอื่นๆ

หุ้นนอกสายตาทั้งสองประเภท มีโอกาสทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เมื่อมันเปลี่ยนสภาพเป็น หุ้นเข้าตา การลงทุนในหุ้นนอกสายตานั้นอาจจะใช้เวลาและความพยายามค่อนข้างมาก โดยเฉพาะหุ้นนอกสายตาประเภทแรก เนื่องจากมักจะไม่มีบทวิเคราะห์ ไม่มี Oppday และไม่ค่อยมีบทสัมภาษน์จากผู้บริหาร บางครั้งก็ต้องใช้ความอดทนรอคอยนักลงทุนรายอื่นหันมาสนใจในหุ้นดังกล่าว ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนทางด้านเวลาของเรา ส่วนหุ้นนอกสายตานักลงทุนสถาบันนั้น แม้ว่าหาข้อมูลได้ไม่ยากนัก แต่ก็มีความเสี่ยงทางด้าน Downside risk ที่มากขึ้นกว่าประเภทแแรก เนื่องจากว่าหุ้นอาจจะเข้าตานักลงทุนรายย่อยไปนานแล้ว และนำไปสู่ง Margin of Safety ที่ลดลง ทำให้เราต้องพิจารณาอย่างถ้วนถี่ก่อนการลงทุน สุดท้ายการหาความรู้และฝึกฝนอย่างเป็นประจำโดยเฉพาะการพิจารณาถึงกุญแจ 5 ดอกของการลงทุนที่ได้พูดไปในบทความที่ผ่านมา จะช่วยให้เราป้องกันการสูญเสียเงินต้นและสร้างความมั่งคั่งได้อย่างมั่นคงในระยะยาว

15 thoughts on “Out-of-sight Stock : หุ้นนอกสายตา

  1. Good writing kab. Pls share if there is any example na kab

    • ผมยกตัวอย่าง หุ้นที่ทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้นมหาศาลที่เปลียนจาก หุ้นนอกสายตานักลงทุนรายย่อย เป็นหุ้นเข้าตานักลงทุนสถาบัน ข้ามที่เดียวสามขั้น ที่ทุกคนรู้จักคือ Jas ครับ ผมเคยมีหุ้นตัวนี้เมื่อสองสามปีก่อน ตอนที่หุ้นราคาต่ำบาท (ตอนนี้ไม่มีแล้ว) ผมเจอหุ้นตัวนี้จากที่คอนโดที่ผมเคยอยู่แถวๆสุขุมวิท มีการเสนอ 3BB และผมเห็นโฆษณาเยอะขึ้นทั้งในกทม. และต่างจังหวัด อีกตัวที่เป็นตัวเร่งในขณะนั้นคือการเข้าซื้อหุ้นอย่างบ้าคลั่งของผู้บริหาร

      ในขณะที่หุ้นนอกสายตานักลงทุนรายย่อยที่ทำผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นดีเช่นกันคือ Distar (Kamart) ตัวเร่งคือการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ และ Sorkon ตัวเร่งคือการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นและการปรับเป้าหมายการทำธุรกิจให้เน้นไปที่บริหารเชนร้านอาหาร

      หรือ Oishi ที่ตอนนี้เข้าตานักลงทุนรายย่อยซักพักแล้วแต่เพิ่งจะเข้าตานักลงทุนสถาบัน ราคาก็ปรับขึ้นมาเกิน 100% จากต้นปี ตัวเร่งได้แก่การเปิดตัวใน oppday ของผู้บริหารถึงแผนในอนาคตและการเติบโตด้วยอัตราเร่งเกิน 20% ต่อปีต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปี

  2. เขียนได้น่าอ่านขึ้นทุกวัน ^^

  3. Sudyod kab. Hope to meet u soon to discuss more on ur stock picking strategy kab^^

  4. เห็นด้วยมากๆครับ

    หลายๆครั้ง นักลงทุนรายย่อยมักคิดว่าการลงทุนในหุ้นตัวเล็กคือการเก็งกำไรและบ่อยครั้งที่มองว่าเข้าข่ายหุ้นปั่น หุ้น blue chip เท่านั้นคือการลงทุนที่แท้จริง

    แน่นอนว่าผมเห็นด้วยกับคุณ kabu ผมมองว่าการลงทุนในหุ้นตัวเล็กที่ตลาดไม่สนใจ analysts ไม่เคยเหลียวแล เป็นการลงทุนที่สนุกมากๆ ผมต้องทำ research เอง นั่งแกะงบ โทรไปคุยกับ ir พยายามพูดคุยกับ stakeholders เช่นพนักงานและลูกค้าทุกครั้งที่โอกาสอำนวย

    การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าผมมี competitive advantage เนื่องจากไม่ต้องแข่งกันวิเคราะห์กับ analysts ผู้ซึ่งสามารถไป company visit ได้บ่อยๆ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาแย่งซื้อเพราะ market cap มักจะไม่ใหญ่ เหล่าเซียนๆมักไม่สนใจ

    โดยรวมผมว่านี่แหละคือการลงทุนที่แท้จริง แต่แน่นอนองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดคือ”ใจ”และ time value of money เพราะเราอาจต้องรอนานเหมือนที่คุณ kabu กล่าวไว้กว่าตลาดจะเข้าใจ

    เป็นอีกบทความที่ดีครับ ขอบคุณที่แบ่งปับ โชคดีนะครับ ^^

    • ดูแล้วหุ้นที่คุณ BLSH เลือกแต่ละตัวให้ผลตอบแทนหายเหนื่อยจริงๆครับ โดยเฉพาะหุ้นที่ขายเครื่องสำอางค์ทีี่ผมฟังชื่อแล้วพ้องเเสียงเหมือนยังเน้นขายรถอยู่แม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อไปแล้วก็ตาม เลยไม่ได่เจาะละเอียด ยินดีด้วยอีกครั้งครับ
      คุณ BLSH อยู่กทม รึเปล่าครับ ผมกลับไทยอยู่เรื่อยๆ เผื่อมีโอกาสหน้าอยากจะเชิญมาทานข้าวกันในสมาคมนักขุด ^^

      • ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ

        หวังว่าจะมีโอกาสได้นั่งพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดด้านการลงทุนกันบ้างนะครับ

        โชคดีในการลงทุนเช่นกันครับผม

  5. หวังว่าอีกไม่นานจะได้เห็นหุ้นนอกสายตาที่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้นะครับ ^__^

    • ปีนี้เป็นปีพิสูจน์ตัวเองของบริษัทเลยทีเดียว รอลุ้นกันว่าจะเข้าตาจริงมั้ย ^^

  6. ได้พี่เขียนให้ความรู้แบบนี้เยอะ ๆ ผมสามารถปลดล๊อกทางความคิดได้เยอะเลยครับ ขอบคุณครับ ไว้เจอบริษัทที่น่าสนใจผมจะหาข้อมูลมาแลกเปลี่ยนนะครับ

  7. ขอเอาไปแชร์ให้เพื่อนๆอ่านนะครับ พี่ชาคริต

Leave a comment